เปิดบทสัมภาษณ์ เจเจ – กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม เลือดใหม่แห่งวงการบันเทิงไทยอย่างแท้จริง
ขยับขึ้นแท่นสู่การเป็นนักแสดงมืออาชีพอย่างเต็มตัว จากเด็กหนุ่มหน้าตี๋คาแรกเตอร์มีเอกลักษณ์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ผ่านงานสุดหินและท้าทายความสามารถมามากมายก่อนจะมาถึงบทตั่วซุง หรือหลานชายคนโตแห่งตระกูลจิระอนันต์ ในซีรี่ย์เลือดข้นคนจางที่โด่งดัง ตามด้วยการเป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์ 9×9 ที่เพิ่งปิดฉากไปกับ Final Concert เมื่อไม่นานนี้ ได้พิสูจน์แล้วว่า เจเจ – กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม คือเลือดใหม่แห่งวงการบันเทิงไทยอย่างแท้จริง วันนี้นอกจากบทบาทของแตงโม ในซีรี่ย์เรื่องล่าสุด Great Men Academy แล้ว เขายังมีอีกหนึ่งบทบาทนั่นคือ พรีเซนเตอร์คนใหม่ของบัตรเครดิตซิตี้ รีวอร์ด และจากตารางคิวงานที่อัดแน่นตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโปรเจ็กต์ 9×9 ของเขา จึงทำให้เราตัดสินใจชวนหนุ่มคนนี้พักเบรกจากความวุ่นวาย เดินทางออกมาสูดกลิ่นอายทะเลที่โรงแรมมิตร์บีช พัทยา สถานที่พักผ่อนแห่งใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ นิดเดียว หลังจากสิ้นเสียงรัวชัตเตอร์ของภาพกับเซ็ตสุดท้ายของแฟชั่นจบลง เราจึงปล่อยให้หนุ่มเจเจได้นั่งพักผ่อนสักครู่ ก่อนจะเข้าไปเริ่มต้นพูดคุยถึงบทบาทที่ได้รับในผลงานซีรี่ย์ล่าสุด ซึ่งแม้ว่าในสายตาของบางอาจมองว่าเป็นซีรี่ย์แนววาย หรือความรักระหว่างชายกับชาย แต่สำหรับหนุ่มคนนี้ในฐานะผู้แสดงกลับไม่คิดเช่นนั้น
“จริงๆ จะมองว่าเป็นแนววายก็ได้ครับ แต่ว่าสิ่งที่เราต้องการจะสื่อก็คือ ด้วยตัวเนื้อเรื่องที่เล่าเกี่ยวกับมุมของผู้หญิง คือตัวเลิฟที่เป็นนางเอกซึ่งรับบทโดยเจมมี่เจมส์ คือจะเป็นผู้หญิงที่ได้รับพรมาให้กลายเป็นผู้ชาย ซึ่งพอเป็นผู้ชายที่มาอยู่กับผู้ชายแล้วจะมองว่ามันเป็นวายมันก็ไม่แปลก แต่ว่าสิ่งที่เราต้องการจะสื่อก็คือในมุมของผู้หญิงมากกว่า เราสื่อถึงความเป็น Great Men ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง มันเป็นการทำให้ผู้ชายได้เรียนรู้ความเป็น Great Men จากมุมมองของผู้หญิง ยกตัวอย่างว่าถ้าผมอยากเป็นสุภาพบุรุษ เราก็ต้องมองไปถึงมุมมองของผู้หญิงว่าเขาอยากให้สุภาพบุรุษเป็นอย่างไร แบบไหน โดยที่เราเอาบรรทัดฐาน สิ่งที่ผู้หญิงอยากได้ มาปรับใช้กับความเป็นตัวเรา เพราะเราไม่สามารถวางบรรทัดฐานได้ว่าร้อยคนจะต้องเป็นสุภาพบุรุษเหมือนกัน คือแต่ละคนก็จะมีความเป็นสุภาพบุรุษของตัวเองในแบบของตัวเอง ส่วนของผมเองรับบทเป็นแตงโม ซึ่งความเป็น Great Men ของแตงโมก็คือความดูแลเอาใจใส่ ค่อนข้างแคร์ความรู้สึกของคนอื่น จะคอยสังเกตความรู้สึกของคนอื่น ต้องการให้คนอื่นสนุกและแฮปปี้เวลาที่อยู่กับเรา หมายถึงว่าเราแผ่ออร่าความสุข ความสนุกให้กับคนอื่นๆ ครับ และเมื่อพูดถึง Great Men แล้ว ในความหมายของผมก็คือคนที่เป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติผู้หญิง ให้เกียรติคนรอบตัว รู้จักดูแลตัวเองทั้งภายนอกและภายใน คือทั้งเรื่องความสะอาด และด้านจิตใจของตัวเอง ซึ่งผมมองว่าคำนี้น่าจะใช้ได้กับ ปอร์เช่ ศิวกร ที่อยู่ 9×9 ด้วยกันครับ เพราะน้องปอร์เช่เขาจะเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน มีกาละเทศะ” พูดจบพร้อมกับส่งยิ้มก่อนจะขยายความต่อว่า “ปอร์เช่นี่ลุคภายนอกที่เขาวางตัวเองไว้คือจะเป็นคนที่ดูแบดๆ ดูเท่ๆ ซึ่งแฟนคลับก็เห็นเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ แต่ว่าเวลาที่เราไปออกสื่อ หรือว่าเวลาเราให้สัมภาษณ์ทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปอร์เช่จริงๆ แล้วเป็นคนเรียบร้อย แล้วก็เป็นคนที่ให้เกียรติคนอื่นมาก มีกาลเทศะมากๆ เป็นเด็กดีมากๆ” นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เมื่อเราถามว่าถ้าสมมติเขาเป็นผู้หญิงแล้วต้องเลือกใครสักคนใน 9×9 มาเป็นแฟน เขาจึงเอ่ยชื่อปอร์เช่ขึ้นมาทันที ชนิดที่ว่าแทบไม่ต้องคิดเลยทีเดียว ส่วนกับซีรี่ย์เลือดข้นคนจาง แม้ว่าจะจบลงไปนานแล้ว แต่สำหรับหนุ่มเจเจ ซี่รี่ย์เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องที่เขารู้สึกยากและท้าทายที่สุด ด้วยความที่ต้องเล่นประกบกับนักแสดงรุ่นใหญ่ฝีมือระดับเทพมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทำให้เขาภูมิใจและหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
เช่นเดียวกับการร่วมโปรเจ็กต์ 9×9 ที่เขาและเพื่อนๆ ต่างก็ต้องทำงานอย่างหนักตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา จนทำให้เขาเองเกิดความรู้สึกท้อในช่วงแรกๆ “ตอนแรกรู้สึกสับสน เพราะว่าตอนที่เราฝึกกันแรกๆ ก็ยังไม่ค่อยมี direction ที่แน่นอน ก็เลยเหมือนคว้าลมครับ พอฝึกคว้าลมทุกวัน โดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาก็เลยมีท้อบ้าง แต่พอมีผลงานออกไป มีกระแสตอบรับกลับมาทั้งคำชม คำติ มันเลยทำให้เราพัฒนามากขึ้น แล้วพอใกล้จะจบโปรเจ็กต์ ก็เลยเกิดความผูกพันธ์มากๆ ด้วยระยะเวลาที่เราอยู่กันมา 2 ปี ได้เจอกับเพื่อนๆ ทีมงานเกือบทุกวัน ซึ่งการได้เข้ามาในโปรเจ็กต์ ได้ซ้อมไปเรื่อยๆ อยู่กับมันลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ผมก็รู้สึกว่าอยากจะเป็นศิลปินที่แท้จริง อยากทำงานในวงการเพลง พิสูจน์ว่าเราไม่จำเป็นต้อง born to be a singer แต่คุณก็สามารถเป็นได้ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบเพลงฮิปฮอปมาก ตอนนี้ก็พยายามฝึกเขียนเพลงอยู่ครับ ในอนาคตก็จะได้เห็นผลงานการเป็นนักร้องแนวฮิปฮอปของผมแน่นอนครับ แต่ว่าจะดีหรือเปล่าไม่รู้ (หัวเราะ) เพราะเราก็ไม่มีประสบการณ์ต้องค่อยๆ พยายามลองไป ตอนนี้ผมเลยโฟกัสอยู่สองเรื่องคือการแสดงและเพลงครับ เพราะรู้สึกว่าการแสดงเราก็มาถึงจุดหนึ่งแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้อยากหยุดอยู่แค่นี้ ผมอยากเก่งขึ้นกว่านี้อีก ส่วนเรื่องร้องเพลง ผมเพิ่งจะก้าวเข้ามาก็จริง แต่ผมเป็นคนชื่นชอบเรื่องเพลงอยู่แล้ว พอเราได้มาทำจริงๆ ก็ทำให้ยิ่งหลงใหลมากขึ้นไปอีกครับ
และแน่นอนว่าชื่อเสียงพร้อมด้วยความสำเร็จที่ได้มาของเขานั้นย่อมต้องแลกมาด้วยหลายๆ สิ่ง โดยเฉพาะเวลาที่มีให้กับตัวเอง คนรอบข้าง และคนรัก “ช่วงที่งานเยอะ วันๆ หนึ่งผมได้นอนประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้นครับ แต่กับต้าเหนิงก็โอเคนะครับ เราก็มีทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ เพราะเราก็เป็นเหมือนคู่แฟนทั่วไปที่จะต้องมีเรื่องไม่เข้าใจ สิ่งที่เราทำได้ก็คือก็ต้องพยายามเข้าใจกันให้ได้มากที่สุด แล้วก็ศึกษากันไปเรื่อยๆ ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีเรื่องที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ มีเรื่องส่วนตัวที่ตัวเองต้องคิด ซึ่งบางเรื่องเราก็ไม่สามารถแชร์กันได้ ไม่ว่าจะเป็นต้าเหนิงหรือว่าคนรอบตัวครับ บางทีเราต้องกลับมาคิดกับตัวเองจนเราได้คำตอบ ดังนั้นระหว่างเราทั้งคู่ก็คือจะพยายามทำความเข้าใจกันให้มากที่สุด ถ้าใครต้องการพื้นที่ส่วนตัวก็ให้สเปซกันแบบนี้ครับ
ส่วนในคอนเสิร์ตที่ผมพูดถึงต้าเหนิงหลายคนอาจจะคิดว่าผมเตรียมตัวมา แต่ว่าจริงๆ แล้วคือผมไม่ได้เตรียมมาเลย ผมไม่ได้คิดว่าจะขอบคุณต้าเหนิงด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมกำลังขอบคุณทุกคนที่อยู่ในชีวิตผม ที่มีส่วนทำให้ผมมีกำลังใจตอนที่ทำโปรเจ็กต์ 9×9 อยู่ 2 ปี ซึ่งในระยะเวลา 2 ปีคือเหนื่อยมาก แล้วก็มีช่วงที่ผมร้องไห้ ผมดาวน์บ่อยมาก ผมก็เลยพยายามขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคน ขอบคุณเพื่อนทุกคนที่เขาอยู่กับผมมาตลอด 2 ปี แล้วเขาช่วยผมตลอด ในตอนนั้นที่ผมพูด อยู่ดีๆ ต้าเหนิงก็เด้งขึ้นมาในหัว แล้วผมก็รู้สึกว่า ถ้าผมไม่ได้พูดขอบคุณเขา ผมก็คงกลับมานั่งเสียดายเองทีหลัง” จนถึงตอนนี้แม้ว่าการทำงานของเขาในโปรเจ็กต์ 9×9 จะจบลง แต่กลับมีอีกหนึ่งบทบาทใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา นั่นคือ การเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับบัตรเครดิตซิตี้ รีวอร์ด ซึ่งหนุ่มเจเจก็ได้ทิ้งท้ายการพูดคุยในวันนี้ถึงการทำงานในบทบาทใหม่นี้ว่า
“การได้มาร่วมงานกับซิตี้แบงก์นี้ผมรู้สึกเป็นตัวเองมากครับ เพราะว่าที่ผ่านมาผมไม่ค่อยกล้าใช้บัตรเครดิตเท่าไหร่ ผมรู้ตัวเองว่าจะเก็บเงินไม่อยู่แน่นอน แต่ช่วงปีสองปีหลังๆ ผมเริ่มตัดสินใจจะทำบัตรเครดิต ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะเลือกที่ไหนดี เพราะเราต้องดูอย่างแรกเลยคือสิทธิพิเศษต่างๆ มันต้องรองรับเรา สองคือต้องช่วยเรื่องระบบการจัดการเงินของเราให้ดีขึ้น คือเราก็มีวิธีการจัดการเงินอยู่แล้ว แต่ว่าก็ยังไม่เพอร์เฟ็กต์ 100% แล้วมันก็เป็นจังหวะพอดีที่ซิตี้แบงก์เข้ามา ซึ่งทุกอย่างของบัตรเครดิตซิตี้ รีวอร์ด ตอบรับความต้องการผมทุกอย่าง ได้คะแนนสะสมคูณ 5 เท่า และ 7 เท่าในเดือนเกิด รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งผมรู้สึกว่าสะดวก แล้ววงเงินในบัตรก็จำกัดแน่นอน เลยทำให้เราใช้เงินเกินไปกว่านี้ไม่ได้ และที่เราได้พิเศษก็คือเราได้แต้มที่มาจากการใช้จ่าย ซึ่งมีคูณหลายต่อมาก แล้วยังสามารถเอาแต้มไปแลกสิทธิพิเศษได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน กาแฟ แลกส่วนลดอาหาร ซึ่งผมรู้สึกว่าสะดวก แล้วก็ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผม ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือวัยทำงานถ้าเราหาวิธีจัดการเงินของตัวเอง ผมว่าบัตรเครดิตซิตี้ รีวอร์ด ก็น่าจะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีนะครับ”
MODEL: กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม
PHOTOGRAPHER: พลอยภัทร
PHOTOGRAPHER ASSISTANT: พลภัทร นรเศรษฐกานนท์
STYLIST: สลาลี สมบัติมี
STYLIST ASSISTANT: เสกสิทธิ์ หนูอินทร์
HAIR STYLIST: ก้องเกียรติ กริสกรี
MAKEUP ARTIST: สุธิพัฒน์ ปิ่นฉ่ำ
CLOTHES: VVON SUGUNNASIL 14/1 ซอยสมคิด Tel. 0 2001 8744
LOCATION: โรงแรมมิตร์บีช พัทยา (Mytt Beach Hotel) Tel. 038 259 510