เลียบสองฟากฝั่งคลองคูเมือง ลัดเลาะตามรอยเรื่องเล่า ‘พระนครกรุงเก่า’
ระยะทางการเดินเท้าราว 500 เมตร จากหน้ากระทรวงกลาโหม ไปยังสวนสราญรมย์ เขตพระนคร มีเรื่องราวหลายยุคสมัยที่ทับซ้อนในกาลเวลา รวมเอาเรื่องราวและร่องรอยในอดีตไว้เป็นผืนเดียวกัน ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และการลัดเลาะคลองคูเมืองจะได้อรรถรสกลมกล่อมเป็นพิเศษ ถ้าได้ทราบและเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้น การเดินทางครั้งนี้จึงขอเริ่มจากเรื่องราวย้อนไปที่ต้นทาง…
ดื่มด่ำความรู้ ณ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร
เรือนปั้นหยาสไตล์ยุโรปประยุกต์ ภายใต้การดูแลของสำนักงานเขตพระนคร นอกจากซุ้มนิทรรศการ ข้อมูลบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ สถานที่สำคัญ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวิถีชุมชนอย่าง ชุมชนสามแพร่ง ย่านสำเพ็ง และ ปากคลองตลาด ที่มีมาตั้งแต่กรุงธนบุรี จนถึงรัตนโกสินทร์แล้ว ตัวเรือนที่แต่เดิมเป็นเรือนพำนักของพระยาบริรักษ์ราชา (เจ๊ก รัตนทัศนีย์) ยังเป็นหลักฐานแสดงถึงสถาปัตยกรรม ที่ได้อิทธิพลตะวันตกผสมผสานกับวิถีไทย ซึ่งจะได้เห็นในสถานที่สำคัญอื่นๆ ต่อไปด้วย
ชมสถาปัตยกรรมอันตระการแวะไขปริศนาสะพานช้างหัวสุนัข
จุดเช็คอินแรก ที่นับว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง อาคารกระทรวงกลาโหม จุดดึงดูดคนรักการถ่ายภาพ และชื่นชอบงานสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าสไตล์นีโอคลาสสิกของตึกกระทรวง ผังอาคารรูปแบบเกือบสี่เหลี่ยมจัตุรัสโอบล้อมลาน รอบตึกโดดเด่นด้วยหน้าต่างบานไม้ทาสีไข่ไก่กรอบสีน้ำตาล ผนังตึกสูง 3 ชั้น ทำหน้าที่เหมือนกำแพงทอดแนวยาวสุดตา ซึ่งคอละครย้อนยุคจะคุ้นกับมุมภาพรอบกำแพงสูงตระหง่านสวยงามนี้เป็นอย่างดี
เดินเยื้องมาทางปลายถนนบำรุงเมือง จะพบกับสะพานข้ามคลองคูเมืองเดิมชื่อ สะพานช้างโรงสี ที่เคยตั้งอยู่ใกล้โรงสีข้าวฉางหลวงในสมัยก่อน ใช้เป็นทางให้ช้างสัญจร ส่วนที่มีรูปปั้นหน้าสุนัขที่เสาหัวโค้งสะพาน มาจากการแปลงสะพานไม้ซุงให้กลายเป็นคอนกรีต โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โปรดฯ ให้สร้างใหม่ใน พ.ศ. 2453 และปั้นรูปสุนัขไว้แสดงปีนักษัตรที่สร้างเสร็จนั่นเอง สำหรับคลองคูเมืองเดิม (คลองหลอด) ทุกวันนี้ ได้กลับมาเป็น ‘เวนิสตะวันออก’ เพราะได้รับการปรับภูมิทัศน์ให้เป็นคลองใสสะอาด ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันของกรุงเทพมหานคร กองทัพหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และประชาชนจิตอาสา
กราบสักการะวัดราชบพิธฯ เรียนรู้เกร็ดประวัติศาสตร์
สำหรับจุดต่อมา แนะนำให้ใช้เวลากับที่นี่นานสักหน่อย เพราะมีเรื่องราวน่ารู้มากมาย นอกจากจะเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกแก่พระอัครมเหสี พระราชเทวี และเจ้าจอมพระสนมเอกแล้ว ตามชื่อ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นั้น “ราชบพิธ” หมายถึงพระอารามที่พระเจ้าแผ่นดินสร้าง “สถิตมหาสีมาราม” หมายถึงพระอารามซึ่งมีสีมากว้างใหญ่ และเป็นพระอารามหลวงสุดท้ายที่กษัตริย์ทรงสร้างตามโบราณราชประเพณี วัดราชบพิธฯ นั้นถือเป็นศิลปะสถานที่ภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในตกแต่งอย่างตะวันตก มีพระพุทธอังคีรสเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อนจากประเทศอิตาลี ใต้ฐานบรรจุพระบรมอัฐิของกษัตริย์หลายพระองค์ รวมถึงพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย ปัจจุบันวัดราชบพิธฯ มีความสำคัญเพราะเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ปัจจุบันอีกด้วย
ความหมายของสะพานหกที่ไม่เกี่ยวกับเลข 6
ออกจากวัดก็แวะชมสะพานข้ามคลองคูเมืองเดิม ที่เคยโด่งดังในอดีต ชื่อว่า ‘สะพานหก’ ประยุกต์แบบมาจากสะพานข้ามคลองในวิลันดา หรือเนเธอร์แลนด์ปัจจุบัน ความพิเศษของสะพานหก อยู่ที่ชื่อที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเลข 6 แต่มีที่มาจากสะพานไม้ที่เคยยกหกขึ้นหกลง ให้เรือในคลองผ่านไปมาได้สะดวก และใกล้ๆ สะพานหกจะพบกับคลับวินเทจเก๋ๆ M.T.Rollin Club ซ่อนตัวอยู่ในห้องหัวมุมของตึกสีเหลืองอ่อนสไตล์โคโลเนียล ริมถนนอัษฎางค์ บรรยากาศภายในเหมือนหลุดเข้าไปในยุคคลาสสิก ที่คงร่องรอยของอดีต ทั้งการตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์หลุยส์ กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้สด เสียงเพลง ความละเมียดละไมแบบยุโรป จุดเชื่อมวัฒนธรรมตะวันตกที่กลมกลืนกับวิถีไทยๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของย่านนี้
สราญใจในสวนสวยสไตล์อังกฤษ
จบทริปในช่วงบ่าย ณ สวนสราญรมย์ ซึ่งแตกต่างจากสวนอื่นที่สร้างสมัยรัชกาลที่ 4 ที่นิยมสวนแบบจีน แต่ที่นี่กลับสวยงามตามแบบฝรั่ง มีสระน้ำ ประติมากรรมน้ำพุ ศาลา ไม้ดอก ไม้ประดับนานาชนิด และถนนเล็กสำหรับเดินเล่น ปัจจุบันเป็นเส้นทางสุขภาพสำหรับคนรักการออกกำลังกาย เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00-20.00 น.
เรื่อง: จารุวรรณ ทิมินกุล
ที่มา: กรุงเทพมหานคร | BKK NEWS Issue 268