แพ็คกระเป๋า ตามรอย Blogger ตะลุยเมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้
เดือนนี้เรามาเที่ยวกันต่อที่เมืองเคปทาวน์ (Cape Town) ประเทศแอฟริกาใต้ เมืองที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติมากที่สุดแห่งหนึ่ง มีลักษณะเป็นภูเขาล้อมรอบ ตรงกลางเป็นทะเล จุดเด่นอยู่ที่ภูเขาลูกใหญ่รูปทรงแปลกตา ด้านบนเขาเรียบแบนเสมอกัน เหมือนโต๊ะที่ตั้งอยู่บนภูเขา มีชื่อเรียกว่า ภูเขาโต๊ะ (Table Mountain) มีความสูงถึง 1,086 เมตร สามารถมองเห็นได้จากทุกสารทิศ
เมืองนี้มีกิจกรรมและที่เที่ยวเยอะมากจนเลือกไม่ถูก ทั้งภูเขา ทะเล เพนกวิน แมวน้ำ ฉลาม ไร่ไวน์ และร้านอาหารอร่อยๆ อีกเพียบ แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิด แป๋มเลยปักหมุดสถานที่ทั้งหมดไว้ใน Google Map ของตัวเอง แล้วขับรถเที่ยวเป็นโซนๆ ที่เลือกเช่ารถเพราะไปกันหลายคน ค่าเช่ารถวันละ 2,500 บาท (BMW Series3) ค่าน้ำมันก็พอๆ กับที่บ้านเรา สะดวกสบายและปลอดภัยกว่า แต่ขอแนะนำว่าอย่าซื้อประกันตอนจองรถในเว็บไซต์นะคะ มาซื้อเพิ่มตอนรับรถดีที่สุด
เราเลือกพักที่ Taj Hotel 4 คืนโดยใช้สิทธิประโยชน์การจองด้วยบัตร Citi Ultima (Metal) พัก 1 คืนฟรี 1 คืน (เฉพาะโรงแรมที่เข้าร่วม) พร้อมฟรีอาหารเช้า แถมอัพเกรดห้องพักให้เป็น Table Mountain View และมีเครดิตแทนเงินสดให้อีก 25 USD อีกด้วย มาเที่ยวรอบนี้ใช้บัตรเครดิต Citi จะครบทุกใบแล้ว คุ้มมากค่ะ สำหรับทริปนี้แป๋มเลือกเส้นทางขับรถอ้อมไปทาง Chapmans Peak Drive เพื่อชมวิวชายหาดและหน้าผา สวยงามมากตลอดสาย มุ่งหน้าไปที่ Cape of Good Hope ระหว่างทางแวะทักทายกองทัพเพนกวินที่ Boulders Beach ชายทะเลที่มีแพนกวินอาศัยอยู่หลายร้อยตัว หรือถ้ามีเวลาเหลือก็สามารถนั่งเรือไปดูแมวน้ำที่เกาะก็ได้ค่ะ จุดต่อไปที่ต้องแวะไปถ่ายรูปคือ กระท่อมหลากหลายสีที่เรียงรายอยู่บนชายหาด Muizenberg Beach ชายหาดเส้นยาว ที่มีคนมาว่ายน้ำ เล่นกระดานโต้คลื่นกันอย่างหนาแน่นตลอดทั้งวัน
และในที่สุดเราก็มาถึง Cape of Good Hope ช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินพอดี คนเริ่มน้อยและแดดไม่แรงเกินไป ความน่าสนใจของที่นี่นอกจากจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อการเดินเรือแล้ว ยังเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่มีความหลากหลายด้านพืชพรรณมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ระหว่างที่ขับรถเข้าไปในอุทยานฯ เราจะได้เห็นต้นไม้ ดอกไม้ที่ดูแปลกตามากมาย ทั้งสีสัน และรูปทรงในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ขับรถไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงจุดชมวิวและถ่ายรูปกับป้ายไว้เป็นที่ระลึก เป็นอันเสร็จภารกิจ
การมาท่องเที่ยวเมืองนี้ไม่ว่าไปที่ไหนเราก็จะเห็นรูป “Nelson Mandela” อดีตประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้ ผู้หล่อหลอมประชาชนทุกเชื้อชาติและสีผิวเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ถึงแม้จะถูกจองจำอยู่ในคุก Robben Island นานถึง 27 ปี ซึ่งปัจจุบันคุกแห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง คนส่วนใหญ่เดินทางมาเพื่อศึกษาชีวิตที่ผ่านมาของท่าน พอได้อ่านแล้วก็พลอยซึ้งตามไปด้วย
จากนั้นมาช้อปปิ้งกันต่อที่ Victoria & Alfred Waterfront คอมมูนิตี้มอลล์ขนาดใหญ่ผสมห้างสรรพสินค้า ติดทะเล และยังเป็นท่าจอดเรือยอร์ช โรงแรม ที่พักอาศัย รวมถึงร้านอาหารมากมาย แถมมีวิว Table Mountain เป็นพื้นหลังเวลาถ่ายรูปอีกด้วย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย และหลังจากที่มองวิวภูเขามาหลายวัน เช้าที่แดดแรงฝนไม่ตก เราจึงต้องรีบมาขึ้นเคเบิ้ลไปรับลม ดูวิวเมืองเคปทาวน์จากบนยอดเขา Table Mountain ซึ่งถ้าวันไหนอากาศไม่ดี เคเบิ้ลจะไม่เปิดให้ขึ้น เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว แป๋มแนะนำว่าให้ซื้อตั๋วจากเว็บไซต์ล่วงหน้าก่อนไป เพราะคิวซื้อตั๋วที่สถานีทางขึ้นยาวมากและแดดร้อนมากค่ะ
กิจกรรมเจ๋งมากอีกอย่างหนึ่งคือ Shark Tour โดยจะให้เราลงไปอยู่ในกรงใต้น้ำ คอยดูปลาฉลามว่ายน้ำไปมาแบบใกล้ชิดที่ Mossel Bay เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่อยากไปมากๆ แต่เสียดายเวลาไม่พอ เลยตัดสินใจว่าไว้ค่อยมาใหม่รอบหน้า และด้วยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ทำให้เมืองนี้รายล้อมด้วยแหล่งปลูกองุ่นทำไวน์ชั้นดี มีชื่อเสียงระดับโลก เราจึงวางแผนไปเที่ยวไร่ไวน์ในเขต Stellenbosch กัน 1 วัน ซึ่งที่แรกคือ Delaire Graff Estate เป็นไร่ไวน์สุดหรูบนพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ด้านในมีทั้งโรงแรม สปา และร้านอาหาร ตกแต่งอย่างสวยงาม ประดับประดาด้วยผลงานศิลปะเหมือนเดินอยู่ใน Art Gallery สามารถขับรถหรือนั่งเฮลิคอปเตอร์มาลงจอดชิลๆ ก็ได้ ซึ่งเจ้าของไร่ไวน์แห่งนี้เป็นเจ้าของเดียวกับ GRAFF แบรนด์เครื่องประดับชื่อดังที่มีสาขาในหลายประเทศ แถมมี Boutique ให้เลือกช้อปอยู่ที่ในนั้นด้วย
เราฝากท้องกับมื้อกลางวันในร้าน The Delaire Graff Restaurant อาหารแต่ละจานถูกจัดเรียงอย่างสวยงาม โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล จับคู่กับไวน์ ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ จากนั้นเราไปเยี่ยมชมและชิมไวน์ (Wine Tasting) ต่อที่ De Toren Private Cellar ไร่ไวน์ปิดชื่อดัง ผู้ผลิตไวน์ De Toren Black Lion และ De Toren Book XVII ที่ได้ Rating อันดับต้นๆ ของประเทศ สามารถทำนัดเข้าไปเยี่ยมชมและชิมไวน์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แค่นัดวันเวลาล่วงหน้าก่อนไปเท่านั้น เจ้าหน้าที่จะพาเดินชมตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์ ขั้นตอนการผลิต การเก็บรักษา จนถึงการชิมไวน์แต่ละชนิด
ด้วยความที่ประเทศนี้มีค่าครองชีพไม่สูง จึงทำให้มีร้านอาหารแบบ Fine Dining อร่อยๆ เยอะมาก ในราคาที่จับต้องได้ อาหารจะออกเป็นแนว Tapas ที่แต่ละจานมีขนาดไม่ใหญ่ ใช้วัตถุดิบหลายชนิดผสมกันให้ออกมาเป็นรสชาติใหม่ในแต่ละจาน อีกทั้งในร้านจะมีไวน์แนะนำให้ดื่มคู่กับอาหารแต่ละจาน แป๋มประทับใจไวน์ Bouchard Finlayson ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Pinot Noir รสสัมผัสดี กลิ่นหอม และราคาไม่สูงเกินไป จนถึงกับต้องซื้อติดมือกลับบ้านมาด้วยเลยค่ะ ที่ Test Kitchen ร้านอาหารลาตินผสมกลิ่นอายความเป็นแอฟริกัน ซึ่งได้รับรางวัล Best Restaurant in Africa และร้านอาหารอันดับ 22 ของโลก ในปี 2016 มีคอนเซ็ปต์ในการเสิร์ฟอาหารที่ไม่เหมือนใคร
โดยเริ่มจะเสิร์ฟ Tapas และ Cocktails ในห้อง Dark Room ให้อารมณ์สไตล์เลาจน์ ก่อนจะย้ายไปห้อง Light Room ซึ่งให้บรรยากาศที่เป็นทางการและโปร่งสบายกว่า สำหรับอิ่มอร่อยกับเมนูที่เหลืออีก 21 คอร์ส ร้านนี้ควรจองล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน หรือไปลิ้มลองร้านอาหารในเครือเดียวกันอย่าง The Pot Luck Club, Short Market และร้านใหม่ที่เปิดได้เพียง 2 เดือนอย่าง Salsify at The Roundhouse ซึ่งมาพร้อมกับบรรยากาศดี อาหารอร่อยทุกจาน และคิวแน่นมาก ขนาดได้โต๊ะตอนสามทุ่มครึ่งยังยอมหิ้วท้องรอกันเลยทีเดียว สำหรับสาย Café Hoppers จะหลงรักเมืองนี้เลย เพราะร้านคาเฟ่มีอยู่เกือบทุกมุมถนน มีสไตล์และน่าสนใจทั้งนั้น ที่ชอบที่สุดคงเป็น Truth Coffee ร้านคาเฟ่เพดานสูงตกแต่งโทนเข้มสวยงามอลังการมีเครื่องชงกาแฟหลายชนิด รวมถึงขนมหวานที่มีให้เลือกกันเป็นตู้เลย แถมสนนราคากาแฟสดชงอย่างดีของเมืองนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ถ้วยละ 40 – 70 บาทเท่านั้น
เพื่อนๆ สามารถเข้าไปดูรูปและวิดีโอเพิ่มเติมได้ที่ IG หรือ FB: PPgallery หากมีคำถามหรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมส่ง e-mail มาที่ ppgallery@hotmail.com
แต่ขอแอบบอกข้อดีก่อนเลยว่าคนไทยที่จะมาเที่ยวแอฟริกาใต้ไม่เกิน 30 วันไม่ต้องขอวีซ่าเลยค่ะ