ทริปตุรกี! ลอยฟ้าพาขึ้นบอลลูน กิจกรรมในฝันของนักเดินทาง
ถ้าหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เจ๋งๆ ในโลกนี้ที่เขานิยมไปขึ้นบอลลูนกัน ก็จะพบว่ามีเมืองยอดฮิตหลายที่อยู่เหมือนกัน เมืองที่ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกในการขึ้นบอลลูนนั้นต้องยกให้เมือง Cappadocia ประเทศตุรกี เพราะฉะนั้นถ้าจะต้องเสียเงินเกือบหมื่นบาทเพื่อขึ้นบอลลูนสักครั้งในชีวิต ทำไมจะไม่ไปที่ที่ดีที่สุดในโลกเลยล่ะ
เราเริ่มทริปด้วยการบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปอิสตันบูล แล้วต่อเครื่องบินภายในประเทศอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งเพื่อเดินทางไปยังเมือง Cappadocia เพื่อเปิดทริปกันด้วยกิจกรรมไฮไลต์ไปเลย วันแรกที่เดินทางไปถึงก็ได้เห็นบอลลูนที่ขึ้นอยู่บนท้องฟ้าประปราย นับว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีหวังว่าพรุ่งนี้เราคงได้เจออากาศดีเช่นกัน ประสบการณ์การขึ้นบอลลูนนั้นต้องเริ่มตั้งแต่การตื่นแต่เช้ามืดประมาณตีสี่ครึ่ง เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น ตอนที่เราไปถึงจุดปล่อยบอลลูนนั้นฟ้ายังมืดสนิทอยู่ แต่เราจะสามารถเห็นผู้คนท้องถิ่นต่างวุ่นวายกับการเตรียมบอลลูน โดยนำอุปกรณ์มากางออก จัดวางกระเช้า และเริ่มจุดไฟจากก๊าซเพื่อส่งอากาศร้อนเข้าไปในบอลลูนทำให้บอลลูนพองและค่อยๆ ลอยขึ้น เนื่องจากพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ฟ้าจึงยังมืดอยู่ การจุดไฟบอลลูนแต่ละลูกทำให้มีสีสันสดใสสวยงาม เวลาที่นักบินเปิดไฟเพื่อเติมอากาศร้อนเข้าไปในบอลลูน จะมีลักษณะเหมือนกับมีใครเปิดโคมไฟสีสันลวดลายต่างๆ สลับกันไปมาไกลใกล้เรียงรายไปรอบตัว จะต่างกับโคมไฟก็ตรงที่ว่าโคมไฟนี้มีขนาดใหญ่มากๆ การได้เห็นบอลลูนของจริงตรงหน้านั้นทำให้เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง แบบที่ไม่เคยคิดว่าบอลลูนของจริงจะใหญ่ขนาดนี้ หลังจากที่บอลลูนพองเต็มที่ ผู้โดยสารก็เริ่มทยอยปีนเข้าไปอยู่ในกระเช้าโดยสารของบอลลูน บอลลูนหนึ่งลูกจะมีตะกร้าแบ่งเป็นสองด้านบรรทุกผู้โดยสารได้ทั้งหมดประมาณ 20 คน โดยมีนักบิน 1 คนอยู่ตรงกลางทำหน้าที่บังคับบอลลูนอยู่ในสัดส่วนที่แยกไว้เฉพาะเพื่อความคล่องตัวในการบังคับ
หลังจากผู้โดยสารขึ้นมาในตะกร้าจนครบแล้ว นักบินก็จะทำการสอนท่าที่ถูกต้องเวลาที่บอลลูนลงจอด เพื่อรับมือในกรณีที่อาจจะเกิดแรงกระแทกจากการลงจอดบอลลูนได้ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคน แต่พอได้ขึ้นบินจริงๆ ประสบการณ์นั้นนุ่มนวลมากไม่มีช่วงไหนเลยที่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงหรือกระชาก โดยตอนที่บอลลูนเริ่มขึ้นก็จะเป็นเวลาพอดีกับที่แสงแรกของพระอาทิตย์กำลังจะเริ่มสว่าง ส่องแสงเป็นสีชมพูที่ปลายขอบฟ้า ภาพที่เห็นคือบอลลูนหลากสีนับร้อยลูกทยอยลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมีภูเขาหินปลายแหลมที่เรียกว่า Fairy Chimneys อันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของเมือง Cappadocia และท้องฟ้าสีชมพูอมทองเป็นฉากหลัง เป็นภาพที่น่าประทับใจสมกับที่ถูกยกให้เป็นเมืองหลวงของการขึ้นบอลลูนจริงๆ
พอบอลลูนขึ้นจริงๆ สิ่งแรกที่รู้สึกประหลาดใจคือความนิ่งและเงียบในการบิน ความที่ไม่มีเครื่องยนต์ทำให้การบินไม่มีเสียง และความสั่นสะเทือน พูดได้ว่าถ้าหลับตาก็ไม่รู้ว่ากำลังลอยอยู่ในอากาศ แต่นั่นก็คงประจวบเหมาะกับความโชคดีที่ได้เจอสภาพอากาศที่เป็นใจที่มีลมมากพอที่จะพัดเคลื่อนบอลลูน แต่ไม่แรงเกินไปด้วยเช่นกัน หลังจากถ่ายรูปชมวิวกันในอากาศประมาณหนึ่งชั่วโมง ไฮไลต์อีกอย่างก็คือตอนลงจอด เนื่องจากบอลลูนไม่ได้กลับมาลงที่เดิม เลยต้องมีการเอารถกระบะไปรับ เพื่อขนบอลลูนกลับ นักบินสาวของเรามีความชำนาญระดับที่สามารถบังคับบอลลูนลงบนท้ายรถกระบะได้เลย ซึ่งช่วยประหยัดแรงให้กับทีมงานที่ไม่ต้องมายกตระกร้าบอลลูนขึ้นบนท้ายกระบะอีกที หลังจากลงจอดเสร็จก็มีอีกกิจกรรมหนึ่งที่เป็นธรรมเนียมของการขึ้นบอลลูน นั่นคือการที่นักบินจะมาเปิดแชมเปญ และดื่มฉลองกับผู้โดยสารทุกคนที่เราสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย
ตุรกีไม่ได้มีดีแค่บอลลูน เพราะเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศที่แปลกตาน่าสนใจ รวมทั้งมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นพื้นที่ที่มีความเจริญมายาวนานหลายพันปี และยังเป็นสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์และอิสลามอีกด้วย อย่างที่ Cappadocia เองก็มีภูมิประเทศที่สวยงามซึ่งเกิดจากการประทุของภูเขาไฟที่อยู่ใกล้ๆ ผ่านการกัดเซาะของน้ำและลมจนกลายเป็นหุบเขาที่มีหินลักษณะเป็นแท่งๆ ทรงกรวย ซึ่งในสมัยโบราณคนในพื้นที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย และทำกิจกรรมต่างๆ โดยการเจาะเข้าไปในหินเหล่านี้ รวมทั้งเนินเขาที่อยู่โดยรอบทำเป็นที่พักอาศัย ครัว ที่พักสัตว์เลี้ยง รวมเป็นถึงโบสถ์และที่ประกอบพิธีทางศาสนา
อีกเมืองที่มีวิวที่เราเห็นบ่อยๆ ตามเว็บท่องเที่ยว คือเมือง Pamukkale ซึ่งมีบ่อน้ำหินปูนสีขาว ตัดกับน้ำสีฟ้าสดอยู่ตรงหน้าผา ตรงนี้ไม่ได้เพิ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้ แต่ถูกใช้เป็นโรงพยาบาลและสถานที่พักผ่อนมาตั้งแต่สมัยโรมัน เพราะมีความเชื่อว่าน้ำในบ่อเหล่านี้มีสรรพคุณในการรักษาโรค ตำนานเล่าว่าแม้แต่คลีโอพัตรากับมาร์ค แอนโทนี ก็เคยแวะมาแช่น้ำที่นี่ด้วยในส่วนของสถาปัตยกรรมของตุรกีส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นสองแบบใหญ่ๆ แบบแรกคือสิ่งก่อสร้างสมัยที่กรีกและโรมันควบคุมพื้นที่แถบนี้อย่างที่เมือง Ephesus ซึ่งเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ตั้งแต่สมัยโรมันที่มีทั้งห้องสมุด ร้านค้า และ theater ไว้จัดการแสดงซึ่งจุคนได้กว่าหมื่นคน
แบบที่สองคือสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาคริสต์และอิสลาม ซึ่งมีอยู่ทั่วไปทั้งประเทศตุรกี แต่แน่นอนที่สุดสุเหร่าสีฟ้า และวิหารเซนต์โซเฟียที่โด่งดังและสวยงามมากที่สุดในตุรกีนั้นตั้งอยู่ที่เมือง Istanbul หรือเมืองคอนสแตนติโนเปิล ชื่อเก่าที่ถูกใช้ในช่วงจักรวรรดิออตโตมัน Blue Mosque และ Hagia Sofia นั้นถูกสร้างหันหน้าเข้าหากันอยู่ใกล้กับบริเวณพระราชวังคอนสแตนตินมหาราช ไม่ต่างกันกับสนามหลวงของบ้านเราเท่าไหร่ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยวัดและวังต่างๆ ใจกลางเมือง
เมือง Istanbul เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บน 2 ทวีป คือ ทวีปเอเชียและยุโรป ถือเป็นเมืองที่มีเสน่ห์มาก เพราะเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมที่หลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีประชากรมากกว่า 15 ล้านคน ลักษณะของเมืองมีความสวยงามเพราะอยู่ตรงกลางระหว่างทะเลอีเจียนกับทะเลดำ มีภูมิประเทศเป็นเนินเขาลาดลงมาสู่ช่องแคบ Bosphorus ถ้าใครเคยติดใจการล่องเรือในแม่น้ำดานูบเพื่อชมความงดงามสองฝั่งของเมือง Budapest ก็ขอแนะนำให้มาน้่งเรือชมวิวในช่องแคบ Bosphorus เพราะมีความสวยงามไม่แพ้กัน แต่เมืองและช่องแคบมีขนาดใหญ่กว่ามาก ทริปนี้เรามีเวลาอยู่ที่ Istanbul แค่เพียงสองคืน ซึ่งไม่พอสำหรับการท่องเที่ยวเมืองใหญ่ขนาดนี้แน่ๆ ตั้งใจไว้ว่าต้องกลับมาอีกเพื่อเดินเล่นและหาที่เที่ยวที่ถ่ายรูป หรือหาของอร่อยรับประทาน เพราะที่นี่มาง่ายไม่ต้องใช้วีซ่า ถือว่าเป็นเมืองที่น่าเที่ยวอีกประเทศหนึ่งเลย และทำให้รู้ว่า ตุรกีนั้นไม่ได้มีดีแค่บอลลูน!