อยู่แบบโสดๆอย่างโคตรสุข เปิดบทสัมภาษณ์ ‘ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์’ เผยมุมมองความรักที่ไม่ธรรมดา
แม้ว่าฤดูร้อนกำลังจะผ่านพ้นไป แต่ช่วงนี้ก็ยังคงเป็นช่วงเวลาสุดร้อนแรงของนักแสดงหนุ่มมาดกวนอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เพราะนอกจากงานแสดงที่ยังคงมีให้แฟนๆ ได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่องแล้ว งานอีเวนต์และพรีเซนเตอร์ต่างๆ ก็ยังพร้อมใจกันเข้ามารุม จนเปลี่ยนจากพระเอกสายติสท์ เป็นพระเอกสายแฟ…ชั่นแล้วในนาทีนี้
โดยที่มาของการเป็นพระเอกสายแฟนี้ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปเหมือนกันว่าทำไม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยินดีกับโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามา เพราะถือว่าเป็นอีกโลกหนึ่ง อีกความเข้าใจหนึ่งที่เปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้และทำความรู้จัก อีกทั้งการไปพบเจอผู้คนใหม่ๆ ก็สร้างความสนุกและสีสันใหม่ๆ ในชีวิตของเขา เช่นเดียวกับบทบาทของการเป็นพรีเซนเตอร์คนใหม่ให้กับซิตี้ เรดดี้เครดิต “บัตร Citi Ready Credit ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผมค่อนข้างมาก เพราะปกติผมก็ไม่ได้เป็นคนชอบช้อปปิ้งซื้อของในห้างสรรพสินค้าอยู่แล้ว ถ้าจะซื้อก็จะเป็นของชิ้นใหญ่หรือของใช้ในบ้านที่จำเป็นครับ ซึ่งบัตรซิตี้ เรดดี้เครดิตใบนี้ถือว่าตอบโจทย์ เพราะสามารถผ่อนซื้อสินค้า 0% ได้นานถึง 36 เดือน
ผมว่ามันช่วยให้ผมวางแผนการใช้จ่ายเงินของผมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว หรืออย่างบางทีผมชอบไปเดินเล่นซื้อของที่สวนจตุจักรแล้วผมพกเงินสดไปไม่พอ และจำเป็นต้องใช้เงินสดด่วนเพราะบางร้านเขาก็รับแต่เงินสด ผมก็เลือกกดจากบัตร Citi Ready Credit เลย ค่อนข้างง่ายและสะดวกมากครับ ผมชอบตรงที่ัสามารถกดเงินสดจากตู้ไหนก็ได้ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมในการกดด้วย ซึ่งสำหรับบางคนอาจจะมองว่าการถือบัตรกดเงินสดดูเป็นอะไรที่ไกลตัวหรือไม่จำเป็น แต่อย่างผมเองก็มีโอกาสได้ใช้นะ ผมใช้บัตรนี้ในการบริหารเงินและการใช้จ่ายของผมมากกว่า คือถ้าเราใช้อย่างถูกวิธี บัตรนี้ก็มีประโยชน์กับผมหลายอย่างเลย แถมยังได้รับสิทธิประโยชน์จากร้านอาหารชั้นนำเดือนละครั้งด้วยครับ” นอกเหนือจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับซิตี้ เรดดี้เครดิตแล้ว แว่วมาว่าเร็วๆ นี้เขาก็ยังมีงานแสดงให้ได้ติดตามกันด้วย โดยเป็นผลงานซี่รี่ย์ที่ได้กลับมาประกบคู่กับนางเอกพันล้านอย่าง ใหม่ – ดาวิกา อีกครั้ง
“ตอนนี้กำลังถ่ายทำซีรี่ย์อยู่ เรื่อง My Ambulance ยังไม่มีชื่อไทยครับ แต่ใกล้จะปิดกล้องแล้ว น่าจะได้ดูกันประมาณเดือนสิงหาคมครับ มี 16 ตอน เรื่องนี้นอกจากจะได้แสดงร่วมกับใหม่ ดาวิกาแล้ว ก็ยังมีนักแสดงคนอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สกาย รณรวีย์, ต้าเหนิง, บิลกิ้น, ปอนด์, ท้อปแท็ป, แบงค์ ธิติ, แล้วก็ปุ๊กกี้ครับ บทบาทของผมในเรื่องนี้จะเป็นคุณหมอแผนกฉุกเฉินครับ เป็นคนจริงจัง เพราะหมอฉุกเฉินจะเป็นคนแรกที่เข้าถึงคนไข้ ฉะนั้นก็ต้องจริงจัง เพราะถ้าเกิดเราพลาดหรือช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย คนไข้ก็อาจจะเสียชีวิตได้ ก็เลยทำแต่งานอย่างเดียว ค่อนข้างเป็นคนบ้างาน ซึ่งจริงๆ ผมจะถนัดแสดงภาพยนตร์มากกว่า แต่ซีรี่ย์ก็เล่นมาบ้างครับ คือสำหรับผมขึ้นอยู่กับ direction วิธีการถ่ายทำ และสิ่งที่เราคุยกันกับผู้กำกับมากกว่า เพราะว่าวิธีการถ่ายละคร ซีรี่ย์ หรือภาพยนตร์ก็แตกต่างกัน
ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็ถ่ายทำเหมือนภาพยนตร์นะครับ เพราะว่ามีการใช้ซีนเนมาติก ใช้การเล่าเรื่อง ไม่ใช่ว่าเป็นภาพกว้าง เห็นทุกคน ใครอยู่ตรงไหน แล้วค่อยมาถ่ายภาพแคบรับทีละคน จะไม่ใช่แบบนี้ มันคือเทคนิคเดียวกับภาพยนตร์ เป็นการทำให้คนดูรู้สึกไปตามสิ่งที่ผู้กำกับอยากให้รู้สึก” ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหน ภาพยนตร์หรือละครก็ตาม สิ่งที่เราสัมผัสได้จากผลงานการแสดงของหนุ่มคนนี้ นอกเหนือจากความสนุกและการอินไปกับบทบาทการแสดงของเขา ก็คือเสน่ห์และความเป็นตัวตนของเขาที่สอดแทรกเข้าไปในตัวละครนั้นๆ ซึ่งหนุ่มซันนี่ก็ได้บอกกับเราว่านั่นเป็นเพราะหน้าที่ของเขาคือต้องกลืนไปกับบทบาทใดๆ ก็ตามที่ได้รับ เพื่อให้คนดูเกิดความเชื่อว่าเขาคือตัวละครนั้นจริงๆ แต่เมื่อเราถามถึงเทคนิคการเตรียมตัวและทำการบ้านก่อนการแสดง หนุ่มคนนี้ก็ยังไม่วายปล่อยมุกตลกก่อนว่า
“ทำการบ้านก็มีวิชาเลขบ้างครับ” จนเราต้องออกตัวเบรก เขาจึงกลับมาพูดเป็นทางการว่า “ผมก็ไม่รู้จะทำการบ้านอย่างไรนะครับ แต่คือเราก็หาว่าตัวละครแต่ละตัวที่เรารับบท เขาเป็นคนแบบไหน เราอยากให้เขาเป็นคนแบบไหน ผู้กำกับอยากให้เขาเป็นคนแบบไหน ทุกครั้งที่อ่านบทผมจะคิดก่อนว่าอยากให้เขาเป็นคนแบบไหน เขาเจออะไรมาบ้างจากเหตุการณ์ต่างๆ หรือสิ่งที่เราได้อ่านเกี่ยวกับตัวเขา” หนุ่มซันนี่เล่าให้ฟังถึงการทำงานพร้อมด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความสุขจนเราสัมผัสได้ จึงถามย้ำอีกครั้งว่าที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าการแสดงคือความสุขในชีวิต ทุกวันนี้ยังเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่ หนุ่มมาดกวนอารมณ์ดีก็ให้คำตอบสั้นๆ แต่ชัดเจนว่า “ใช่ครับ แล้วก็มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยครับ”
ส่วนการเดินทางท่องเที่ยว ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่รักเช่นกัน จนถึงขนาดเกิดเป็นรายการท่องเที่ยวในรูปแบบของตัวเองออกมาชื่อว่า The Sun Hunter “จริงๆ มันก็เกิดขึ้นแค่เพราะว่าอยากไปเที่ยวกันเท่านั้นครับ ซึ่งเรารู้สึกว่าควรจะมีกิมมิกอะไรเกี่ยวกับรายการท่องเที่ยวนี้ เลยคิดว่าพระอาทิตย์ขึ้นและตกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกๆ วัน เพียงแต่ว่าในแต่ละวันจะไม่เหมือนเดิม รวมถึงในแต่ละที่ด้วย เพราะสิ่งที่เป็นเป้าหมายของเราคือพระอาทิตย์ และสิ่งที่เราพบเจอระหว่างทาง โดยก่อนเดินทางอย่างแรกก็คือเราจะเลือกประเทศก่อนครับ แล้วพอไปถึงค่อยว่ากันอีกที เพราะแต่ละที่ก็จะมีความแตกต่างกัน บางที่ก็จะเห็นพระอาทิตย์ชัด บางที่พระอาทิตย์โตกว่า แต่จริงๆ ที่ที่อยากไปคือที่ที่พระอาทิตย์ไม่ตกเลย อยากจะรู้ว่าเป็นอย่างไร และสำหรับเรื่องราวสนุกๆ ในการเดินทางส่วนมากก็จะเป็นความติ๊งต๊องแหล่ะครับ เพราะว่าคนที่ไปด้วยก็จะเป็นคนที่รู้จักกันหมด บรรยากาศเลยสนุก เหมือนเราได้ผจญภัยไปด้วยกัน เป็นแกงค์เดียวกัน ซึ่งภาพบรรยากาศความสนุกนั้นก็จะออกมาอยู่ในรายการทั้งหมดครับ”
ไม่ว่าจะเป็นการแสดง สัมภาษณ์ หรืองานใดๆ ก็ตามเราจะสัมผัสได้ถึงตัวตนที่ชัดเจนของหนุ่มคนนี้ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงไหนก็ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเราคิดว่านั่นล่ะคือเสน่ห์ที่ทำให้ใครต่อใครต่างก็หลงรัก “ผมว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของผมนะที่จะต้องไปทำให้คนอื่นเข้าใจเราอย่างไร มันเป็นหน้าที่ของเขามากกว่า ผมแค่ประพฤติตัวอยู่ในสิ่งที่ถูกต้อง ที่ควร ตามแบบที่ควรจะเป็น แล้วก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ส่วนคนอื่นเขาจะมองเราเป็นแบบไหน อย่างไร อันนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้ว แล้วผมเองก็ไม่ต้องไปอธิบายกับเขาด้วยซ้ำ” เช่นเดียวกับเรื่องความรักที่ก็ชัดเจนไม่ต่างกัน โดยพอเราเริ่มถามถึงเรื่องความรัก หนุ่มซันนี่ก็ย้อนถามเราแบบติดตลกก่อนว่า “คราวที่แล้วเรื่องความรักของผมถึงเวอร์ชั่นไหนแล้วนะครับ?” เรียกเสียงหัวเราะให้กับทีมงานก่อนจะให้คำตอบว่า
“ตอนนี้ก็ยังไม่มีเหมือนเดิมครับ คือมันไม่ได้เป็นความรู้สึกอะไรแบบนั้น ผมรู้สึกว่าคนเราจะทำความรู้จักกัน หรือเจอกันก็แค่นั้นครับ ไม่ได้คิดไปถึงว่าจะต้องคบกัน เพราะว่าสิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่ว่าผมจะอยากมีแฟนหรืออะไร ผมรู้สึกว่าคนรอบตัวเราสำคัญ และใครสักคนจริงใจที่จะมาอยู่ในชีวิตเรา เราก็ควรให้เขาอยู่ในชีวิตเราต่อไปแบบนี้ครับ แค่นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ซึ่งมุมมองความรักสำหรับผมแล้วคือสองคนนะครับ ไม่ใช่ใครทำอะไรเพื่อให้อีกคนเฉยๆ แต่ต้องเป็นสิ่งที่คนรักกันทำให้กัน แค่นั้นเอง ซึ่งผมยังไม่ได้เจอสิ่งนี้ในชีวิต” และเมื่อถามถึงในอนาคตว่าหากจะต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวจริงๆ หนุ่มซันนี่จะทำอย่างไร เขาจึงได้ทิ้งท้ายการพูดคุยในวันนี้ด้วยคำตอบว่า “แล้วทำไมถึงจะอยู่ไม่ได้ล่ะครับ ก็อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ มันมีอะไรยากล่ะ สำหรับผมไม่ต้องเตรียมการอะไรเลย เพราะผมคิดว่าทำไมต้องให้คนอื่นมามีผลกับชีวิตเรา ในเมื่อเราเกิดมาก็เกิดมาคนเดียว มันควรต้องเป็นเรามากกว่าที่ต้องไปดูแลคนอื่น ไม่ใช่ว่าจะต้องหาใครเพื่อมาเติมเต็มหรือว่าต้องมาดูแลเราครับ”