TOP

สนทนากับ “แต้ว – ณฐพร เตมีรักษ์” ชาเลนจ์ตัวเองสู่คนใหม่ มีความสุขกับการเป็นตัวเอง

ย้อนไปกว่าสิบปีที่แล้ว เราได้รู้จักกับสาวน้อยตาคม ที่ฉายแววความโดดเด่นมาตั้งแต่ผลงานโฆษณาชิ้นแรก ก่อนจะค่อยๆ สะสมประสบการณ์และเติบโตขึ้นในวงการบันเทิง จนกลายมาเป็นนักแสดงสาวมากฝีมือคว้าเรตติ้งและกระแสฮอตฮิตติดลมบนจากบทบาทของ “เจ้าแม่นาคี” และในวันนี้ต่อให้จะมีกระแสของดาราหน้าใหม่เกิดขึ้นมากเพียงใด แต่ชื่อของ “แต้ว – ณฐพร เตมีรักษ์” นักแสดงสาวเจ้าบทบาทก็ยืนหนึ่งและไม่เคยหายไปจากวงการบันเทิงบ้านเรา 

เพราะนอกจากประสบการณ์และความสามารถ ที่วันนี้เธอได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว การดูแลตัวเองและมีวินัยกับทุกๆ เรื่องในชีวิตของเธอ ก็ทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดเด็กจากสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จึงกลายมาเป็นนักแสดงสาวเจ้าบทบาทที่สะกดให้คนดูไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้ และตอนนี้ด้วยละครที่กำลังถ่ายทำอยู่ของเธอ “เรื่องเล่ห์บรรพกาล” กำลังจะปิดกล้อง เราจึงได้มีโอกาสคว้าตัวเธอมาถ่ายแฟชั่นเซ็ตสวยหรู พร้อมพูดคุยถึงชีวิตในวงการบันเทิงของเธอกันสักหน่อย โดยเมื่อเราเริ่มต้นถามเธอว่าเข้าวงการมากี่ปีแล้ว ก็ได้รับคำตอบพร้อมเสียงหัวเราะที่สดใสว่า “เลิกนับไปตั้งแต่ปีที่ 10 แล้วค่ะ (หัวเราะ) ตอนนี้ก็น่าจะ 10 กว่าได้แล้วค่ะ 13 – 14 ปีได้แล้วมั้งคะ ตอนที่เริ่มเข้าวงการฯ แต้วน่าจะประมาณ 16 – 17 ปีค่ะ ช่วงมัธยมปลาย คือถ้านับว่าการเข้าวงการคือการเล่นละครนะคะ แต่ก่อนหน้านั้นก็จะมีโฆษณาบ้าง ซึ่งการเข้าวงการฯ ตั้งแต่เด็กก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย คือก็อาจจะทำให้เราเสียชีวิตวัยเด็กไปบ้าง ไม่ได้ไปเล่นหรือทำอะไรเท่าคนอื่น แต่ว่าข้อดีมันก็ทำให้เรารู้จักในเรื่องของความรับผิดชอบเกินกว่าคนในวัยเดียวกัน เพราะว่ามันก็มีอีกหน้าที่ที่เราต้องทำให้ได้ค่ะ

แต่ทั้งนี้แต้วก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องดีนะคะ เพราะการทำงานตรงนี้ทำให้เราต้องท้าทายตัวเองตลอด ทั้งด้วยอาชีพ สิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว หมายถึงตัวเนื้องาน ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะมันไม่มีรูปแบบตายตัว คือโอเคเราเป็นนักแสดง แต่มันไม่ได้มีหน้าที่ระบุชัดเจนว่าหน้าที่ของนักแสดง to do คือต้องทำอะไร เพราะว่าในการแสดงมันมีเรื่องให้เราต้องไป explore เยอะมากเลย ด้วยเพราะการที่เราจะต้องไปเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ หรือไปรับบทบาทอะไรก็ตาม ฉะนั้นเราต้องยอมรับ เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดค่ะ ซึ่งอันนี้มันคือเป็นข้อดีที่แต้วรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นดีค่ะ” และด้วยการทำงานกว่าสิบปีในวงการฯ ซึ่งผ่านมาแล้วหลากหลายบทบาท จึงทำให้วันนี้เธอมีประสบการณ์และสามารถเลือกรับงานได้มากขึ้น “ก่อนอื่นเลยแต้วจะเลือกจากการที่เรารู้สึกว่าอยากทำไหม เราจะ enjoy กับมันตลอดระยะเวลาที่ถ่ายไหม เพราะว่าอยู่กับละครเรื่องหนึ่งก็นานเหมือนกันนะ ก็เลยอยากจะหาบทหรือสิ่งที่เราคิดว่าจะสนุกกับมัน ถ้าหากว่าเราเลือกได้นะคะ” (ยิ้ม) ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เธอตอบตกลงเข้ามารับบทบาทในละครเรื่อง เล่ห์บรรพกาล ที่กำลังถ่ายทำและใกล้จะปิดกล้องเข้าไปทุกที 

“สำหรับละครเรื่องเล่ห์บรรพกาล น่าจะได้ดูประมาณปีหน้าค่ะ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน 3 ภพ 3 ชาติ ซึ่งมีต้นตอมาจากเหตุระเบิดตึกที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน เลยป็นเรื่องราวของการสืบสวนสอบสวน ที่พาเราย้อนไปในอดีต เล่าถึงความแค้นที่ข้ามภพข้ามชาติ ของคนที่ไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง แต่ในส่วนของแต้วและเจมส์จิ (เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข) ที่เล่นคู่กันในเรื่องนี้ก็จะเป็นตัวแทนของความรักที่มั่นคงค่ะ” และจากประสบการณ์และการทำงานในวงการบันเทิงของเธอ บวกกับความสำเร็จที่ผ่านมา ทำให้เราอดที่จะตั้งคำถามกับนักแสดงสาวตาคมคนนี้ไม่ได้ว่า เธอใช้อะไรเป็นตัววัดความสำเร็จในฐานะของการเป็นนักแสดง จะใช่เรตติ้ง กระแส หรือรางวัลที่ได้รับอย่างคนอื่นๆ หรือเปล่า เธอก็ตอบกลับมาในทันทีว่า “ที่พูดมาทั้งหมดมันก็วัดความสำเร็จได้ประมาณหนึ่งนะคะ หมายถึงในเรื่องความนิยม แต่ถ้าพูดถึงตัวเราเองโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องของค่านิยมว่าขายได้หรือไม่ ก็คงเป็นฟีดแบกที่มาหาตัวเราจริงๆ ว่าคนดูได้อะไรจากสิ่งที่เราทำไป เขาอินกับบทนั้นแล้วมันไปเอฟเฟ็กต์อะไรกับชีวิตเขา หรืออาจจะไม่ต้องถึงกับเปลี่ยนชีวิตใครขนาดนั้น แต่ว่ามันเห็นจริงๆ ว่าเขามีความสุขขึ้นจากการที่เขาได้เห็นเราในบทบาทนั้นๆ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเราประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ทำอยู่ในฐานะของนักแสดงสำหรับแต้วค่ะ”

นอกเหนือจากเรื่องเรียนและการทำงานที่ทำให้เราได้เห็นความมีวินัยและรับผิดชอบของสาวตาคมคนเก่งนี้แล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือ การดูแลตัวเอง ซึ่งเธอก็ได้พูดติดตลกว่าเมื่อวานเพิ่งไปกินขนมมาอย่างหนัก พร้อมกับสารภาพว่าแท้จริงแล้วเธอไม่คนที่อินกับการออกกำลังกายเลย  “ก่อนหน้านี้แต้วต้องใช้ความพยายามในการขุดร่างตัวเองไปที่ยิมมากๆ เลยค่ะ ซึ่งมันน่าจะเริ่มเปลี่ยนตอนที่แต้วมีโอกาสได้ไปคอนเสิร์ตของพี่เบิร์ด คือมันเหมือนเป็น mission ใหญ่ ที่เราอยากทำออกมาให้ดี ก็เลยวางแผนว่าเราจะ survive อยู่บนเวทีได้โดยที่ยัง perform ได้และไม่ suffer กับอาการเหนื่อยมากจนเกินไปได้อย่างไร ซึ่งคำตอบก็คือการออกกำลังกาย แต้วเลยเริ่มหันมาวิ่งค่ะ ก็เลยค่อยๆ เห็นความสำคัญของการออกกำลังกายมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นประโยชน์ว่ามันทำให้เรารู้สึกเป็นคนแอคทีฟมากขึ้น รู้สึกดีกับการที่ร่างกายเราได้ขยับมากขึ้น จากเมื่อก่อนที่รู้สึกว่าเราอยู่เฉยๆ ดีกว่า แต่ตอนนี้ก็มีบางวันเหมือนกันนะคะที่รู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากไปยิม ซึ่งวิธีจัดการก็คือแต้วจะไม่หาเหตุผลอะไรเยอะแยะเลยค่ะ ก็คือในขณะที่เราคิดว่าขี้เกียจไปออกกำลังกายจังเลย ก็จัดของไปด้วย (หัวเราะ) แล้วก็แค่พาตัวเองไป ไม่ต้องเวิ่นเว้อเยอะค่ะ ถ้ายิ่งเวิ่นเว้อเยอะเดี๋ยวมันเจอข้ออ้างทำให้ไม่ได้ไปแน่นอน (หัวเราะ) พอไปแล้วมันก็ไม่เคยรู้สึกไม่ดีสักครั้งนะ ถึงแม้ว่ามันจะเริ่มต้นด้วยความขี้เกียจหรืออะไรก็ตาม ทุกครั้งก็จบลงที่การที่เรารู้สึกขอบคุณตัวเองที่เราไม่พยายามหาข้ออ้างอะไรค่ะ”

 

ถึงแม้ว่าสาวคนเก่งคนนี้จะจริงจังกับเรื่องงานและการดูแลตัวเองอย่างดี แต่เมื่อเป็นเรื่องความรักเธอกลับปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึก และไม่ไปกำหนดกฏเกณฑ์อะไร “กับเรื่องความรักแต้วไม่อยากจะจริงจังมากค่ะ คือเหมือนว่าก็เรามีความรักรอบๆ ตัวอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะปล่อยสบายๆ ไป เพราะความรักน่าจะมาเป็นส่วนที่เติมเต็มชีวิตของคนๆ หนึ่งมากกว่า ไม่อยากมองว่าความรักจะต้องเป็นหน้าที่ที่เราต้องไปให้ถึงความคาดหวังของใคร เพราะแต้วว่าสุดท้ายแล้วมันก็คือตัวเราเองที่จะต้องอยู่กับความรักแบบไหน หรือกับใคร ฉะนั้นถ้าเราแฮปปี้ก็โอเคค่ะ แต้วเลยจะไม่มีแพทเทิร์นว่าต้องแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่ หรืออนาคตชีวิตเราจะเป็นแบบไหนอย่างไร เพราะโดยพื้นฐานเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบวางแผนอะไรยาวๆ อยู่แล้ว สำหรับแต้วคิดว่ามันคือการเอาชีวิตไปผูกกับความคาดหวัง ซึ่งเราคาดหวังและทำในสิ่งที่เราทำได้วันนี้ พรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ” ถึงแม้เธอจะบอกว่าไม่วางแผนและคาดหวัง แต่การแต่งงานของเพื่อนในกลุ่มอย่างสาวมิว (มิว – นิษฐา จิระยั่งยืน) ก็ทำให้เธอเริ่มมีคิดถึงการแต่งงานกับหนุ่มต้น (อาชว์) ที่คบกันมากว่าสิบปีไว้บ้างเหมือนกัน

“คือจากที่เพื่อนมีข่าวดีก็ทำให้เราคิดๆ บ้างนิดหนึ่งจากที่ไม่คิดเลย ก็คิดว่าจะอย่างไรนะ แอบคิดค่ะ เพราะว่าอย่างที่ออกตัวไว้แล้วว่าไม่ใช้คนที่ตั้งความหวังกับอะไร แต่ว่าเรื่องความรักมันก็เหนือการเหนือการควบคุมนะคะ แต่ถ้าถามตอนนี้แต้วว่าเราทำอะไรที่เราควบคุมได้ดีกว่า แล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่เร็วหรือช้าไป อยู่ที่ว่ามันจะพอดีตอนไหน อาจจะเป็นวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ แต้วเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ก่อนที่การพูดคุยกันในวันนี้จะจบลง เราฉุกคิดได้ว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วก็เคยได้มีโอกาสร่วมงานกับนักแสดงสาวคนเก่งคนนี้ และได้ถามเธอถึงชีวิตในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งก็ตรงกับเวลานี้พอดิบพอดี โดยในตอนนั้นเธอบอกกับเราว่าอาจจะแต่งงานแล้วมีลูก ทันที่เราอ่านคำตอบของเธอในตอนนั้นให้ฟัง สาวแต้วก็ส่งเสียงอย่างเขินๆ แล้วจึงตามด้วยเสียงหัวเราะที่สดใสอารมณ์ดี ก่อนที่เราจะอ่านคำตอบของเธอในวันนั้นให้ฟังต่อว่า รับละครน้อยลง พร้อมๆ กับการทำธุรกิจของตัวเอง

เธอจึงอธิบายคำตอบในวันนั้นของตัวเองทิ้งท้ายการพูดคุยในวันนี้ว่า “การที่ตอบแบบนั้นตอนนั้น คงเพราะคาดหวังว่าตัวเองคงจะเปลี่ยนแปลงอะไรไปเยอะ แต่พอมาตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราตอนนั้นกับตอนนี้ก็เป็นคนๆ เดียวกันนี่ล่ะ แต้วไม่ได้รู้สึกว่าเราเปลี่ยนอะไรไปจาก 5 ปีที่แล้วมากขนาดนั้นเลยนะ ฉะนั้นถ้าจะถามคำถามเดิมในตอนนี้ก็คงต้องบอกว่าอาจจะไม่ต่างอะไรจากตอนนี้ก็ได้ คือคงยังเล่นละครอยู่ รับบทแม่แล้วหรือเปล่าไม่รู้ตอนนั้น แต่ก็คงยังไม่มีลูกหรอก (หัวเราะ) เพราะว่าดูจากสภาพการณ์แล้วก็คงไม่น่า แต่งงานแล้วหรือยังตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยค่ะ แต่ที่แน่ๆ ก็น่าจะมีอะไรที่ชัดเจนมากขึ้นค่ะ แล้วก็คงเป็นคนที่โตขึ้น คาดหวังอะไรน้อยลงไปกว่าตอนนี้อีกค่ะ เพราะเราเริ่มเรียนรู้ว่า 5 ปีที่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง ก็น่าจะเป็นคนที่ได้รับบทเรียนอะไรมากขึ้นในชีวิตค่ะ” (ยิ้ม)

เรื่อง :จักรีรัตน์ อัสดรวุฒิไกร

 

ชลธิช วรรณอุบล I บรรณาธิการดิจิทัล