หญิงเก่งแห่งปี “สู่ขวัญ บูลกุล” เปิดมุมความคิด ที่ทำให้เธอเปล่งประกายกว่าใครๆ
Treasure Beauty
เรื่อง : จักรีรัตน์ อัสดรวุฒิไกร
ภายหลังจากที่สามารถสร้างกระแสและเป็นผู้เปลี่ยนนิยามความหมายใหม่ของคำว่า “เน็ตไอดอล” ได้สำเร็จ “สู่ขวัญ บูลกุล” ก็ยังคงใช้ประสบการณ์และความสามารถที่เก็บเกี่ยวสั่งสมมาเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพ สามารถคว้ารางวัลจากหลากหลายสถาบันได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งล่าสุดกับรางวัลผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ Homestay บนเวทีประกาศรางวัลสุพรรณหงส์ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจากความสำเร็จบวกกับความประทับใจที่ AROUND ได้เคยมีโอกาสร่วมงานกับผู้หญิงเก่งคนนี้ เมื่อมีโอกาสที่ AROUND จะได้เดินทางไปถ่ายแฟชั่น เซ็ตสวยกันไกลถึง Soneva Fushi ประเทศมัลดีฟส์ ชื่อของ สู่ขวัญ บูลกุล จึงปรากฏขึ้นในใจเรา เป็นชื่อแรกแบบไม่ต้องสงสัย
การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างสบายๆ แตกต่างจากครั้งที่ผ่านมา เพราะบรรยากาศในวันนั้นเหมือนเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งของกลุ่มเพื่อนที่ห่างหายไป โดยเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงพูดคุยอย่างร่าเริง ซึ่งในการเดินทางแม้จะกินเวลายาวนานอยู่สักหน่อย แต่ด้วยความสะดวกสบายที่ได้รับตลอดการเดินทางจากสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส บวกกับจุดหมายปลายทางที่งดงามเหนือคำบรรยายของ Soneva Fushi จึงทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่เหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด แม้กระทั่งในวันที่สอง ซึ่งเป็นวันทำงานที่เราต้องเริ่มต้นกันแต่เช้าตรู่ แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศของการทำงานตลอดทั้งวันก็ยังคงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ สร้างความสนุกสนานและลดดีกรีความร้อนแรงของอากาศที่นั่นลงไปได้บ้าง เมื่อทันทีที่สิ้นเสียงกดชัตเตอร์เซ็ตสุดท้ายของช่างภาพ เราจึงได้เริ่มต้นพูดคุยถึงการกลับมาร่วมงานกับ AROUND อีกครั้ง “ได้กลับมาร่วมงานกับ AROUND ก็ดีใจนะคะ เพราะว่าคราวที่แล้วที่ได้ทำงานด้วยกันก็สนุกสนานมาก แล้วก็ได้มีมิตรภาพใหม่ๆ เพิ่มขึ้น แถมครั้งนี้ยังได้เดินทางมาที่ Soneva Fushi ประเทศมัลดีฟส์ด้วย สำหรับการถ่ายเซ็ตแฟชั่นนี่ก็ต้อง ขอบคุณทางสไตลิสต์ที่เลือกชุดมาได้สวยมากทุกชุดเลย ทำให้การมาครั้งนี้มันมีสีสันเพิ่มมากขึ้นค่ะ”
จากการสังเกตและพูดคุยกันก่อนหน้านี้จึงทำให้เราพอจะรู้ว่า โดยส่วนตัวแล้วสาวเก่งคนนี้ก็ชื่นชอบในการเดินทางอยู่ไม่น้อย และถ้ามามีเวลาว่างก็มักจะหาโอกาสเดินทางกับครอบครัว และกลุ่มเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังสามารถท่องเที่ยวได้ทุกรูปแบบ เพราะเธอมองว่าการท่องเที่ยวคือการออกไปเรียนรู้โลกกว้าง “สำหรับพี่ขวัญท่องเที่ยวเป็นศัพท์คำเล็กๆ ค่ะ แต่พี่ขวัญคิดว่ามันเป็นการเห็นโลกกว้างมากกว่า เราเกิดมาในชีวิตหนึ่ง โลกมันก็กลมๆ แค่นี้ ถ้าเราได้เดินทางแล้วก็เห็นว่าโลกทั้งหมดนี่หน้าตาเป็นอย่างไร เพราะทุกที่ผู้คนก็แตกต่างไป อาหารไม่เหมือนกัน บรรยากาศ กลิ่นก็ไม่เหมือนกัน culture ทุกอย่างคือสีสัน และมันคือโลกใบนี้” จากคำตอบที่เธอว่ามานั้นสิ่งที่สะดุดใจเราคงเป็นเรื่องของกลิ่น ประกอบกับว่าขณะที่เดินทางมาด้วยกันเธอได้ขอแวะซื้อน้ำหอม เพื่อเลือกกลิ่นประจำ การเดินทางของทริปนี้ จึงซักถามต่อไปจนได้รู้ว่าที่จริงแล้วก่อนการเดินทางทุกครั้งเธอมักจะเลือกซื้อน้ำหอมเพื่อใช้ในการเดินทางแต่ละครั้ง
“มันเป็นฟิลลิ่งที่เกิดขึ้นมาเองค่ะ ปกติแล้วพี่ขวัญก็เป็นคนชอบใช้น้ำหอม แล้วเรารู้สึกเองว่าเวลาไปเที่ยวที่ไหน สักที่หนึ่ง เราก็จะเลือกว่าจะเอาน้ำหอมขวดไหนไป หลังจากนั้นพอกลับมาบ้าน เวลาที่เราฉีดน้ำหอมกลิ่นนี้ลงบนตัว ทำให้เรา automatically นึกถึงทริปที่เราไป พี่ขวัญก็เลย เกิดความคิดว่า กลิ่นสามารถช่วยเรา remind ความทรงจำได้ชัดเจนขึ้น ก็เลยเกิดเป็นไอเดียนี้ขึ้นมา ดังนั้นพี่ขวัญจึงตั้งใจกับตัวเองว่าทุกครั้งที่เดินทางจะเลือกซื้อน้ำหอมใหม่หนึ่งขวด คือต้องซื้อให้ได้ เพราะเมื่อเรากลับมาจากทริปนั้นแล้ว ทุกครั้งที่เราได้กลิ่น เราก็จะนึกถึงทริป เรื่องราวในทริป ความรู้สึกของทริปนั้นๆ และอีกอย่างส่วนใหญ่แล้วพี่ขวัญจะเดินทางกับครอบครัวและเพื่อนรัก ฉะนั้นความทรงจำที่เกิดขึ้นเป็นความทรงจำที่ดี พอเรากลับมาแล้วทุกครั้งที่เราได้กลิ่นนั้นเราจะรู้สึกถึงวันเวลาที่เราได้ใช้กับคนที่เรารักเสมอ ซึ่งสำหรับทริปนี้พี่ขวัญ เลือกกลิ่น Café Rose ของ Tom Ford ค่ะ” (ยิ้ม)
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรามองเห็นความใส่ใจและความละเอียดอ่อนในตัวผู้หญิงคนนี้ เช่นเดียวกับด้านการทำงาน ที่เธอก็ใส่ใจและให้ความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นจึงเป็นผลที่นำมาซึ่งความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เธอได้รับรางวัลผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ Homestay บนเวทีประกาศรางวัลสุพรรณหงส์ “ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ สำหรับตัวพี่ไม่ได้ตอบรับเล่นเพราะคิดว่าดี เดี๋ยวจะได้ดัง เป็นหนังทำเงิน ต้องได้เงินแน่ๆ ไม่ได้เคยคิด แต่เวลาพี่เล่นภาพยนตร์หรือเล่นซีรีส์อะไรก็ตาม พี่จะเลือกว่า message หลักของซีรีส์หรือภาพยนตร์นั้นพี่ believe in it ตั้งแต่เรื่อง 42.195, side by side แล้วก็ homestay พี่เลือกด้วยหลักการนี้ว่าพี่เชื่อใน message หลักของทั้ง 3 เรื่อง แล้วพี่แค่คิดว่าถ้าพี่สามารถที่จะเป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่ง เพื่อที่จะเติมเต็มเรื่องราวทั้งหมด และ message หลักสามารถถ่ายทอดไปถึงคนดูได้ พี่รู้สึกมีความสุข เพราะเราได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่า และมีความหมายต่อชีวิตพี่ นี่คือการดีไซน์ชีวิตตัวเองสำหรับพี่
แต่พี่ไม่สามารถตอบแทนคนอื่นได้ เพราะทุกคนมีจุดมุ่งหมายในชีวิต มีสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ยอมรับตัวเอง และรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่าได้ บางคนมีความรู้สึกว่าการที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นที่ยอมรับของสังคม อาจจะรวมถึงการมีรายได้ที่มหาศาลอะไรก็แล้วแต่ ในมุมมองของเขาอาจจะคิดว่านี่คือความสามารถ ความทุ่มเทของเขา เขาถึงสร้างอาณาจักรของเขาขึ้นมาได้ นั่นก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่ก็ถูกต้องเหมือนกัน แต่สำหรับพี่ พี่ชอบที่จะมีความรู้สึกว่า ชีวิตพี่ได้ทำอะไรในสิ่งที่พี่รู้สึกให้คุณค่า ให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น และสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Homestay นี้ มีคุณค่าชนิดที่ว่าถ้าพี่ไม่ได้มีโอกาสทำบุญอะไรแล้วในชีวิตพี่ว่า พี่โอเคค่ะ” (หัวเราะ) และแม้เบื้องหน้าของสาวเก่งมากความสามารถคนนี้จะดูสวยหรู ไม่ว่าหยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จ แต่แท้จริงแล้วทุกความสำเร็จที่ได้มาของเธอนั้นไม่เคยมีคำว่า ‘ง่ายดาย’ โดยเธอยอมรับว่ากว่าจะมาถึงจุดที่หลายคนมองว่าประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ได้ เธอต้องอาศัยความสามารถ ประกอบกับความทุ่มเทและพยายามจึงจะได้มา
“ทุกอย่างที่พี่ได้มาในชีวิตมันเกิดจากความพยายามของเรา ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรืออะไรก็แล้วแต่ ล้วนเกิดจากความทุ่มเท พยายาม และการทำงานหนักของเรา พี่เป็นคนที่ซื้อลอตเตอรี่ก็ไม่ถูก จับฉลากก็ไม่ได้อะไร ถ้าสมมติว่ารางวัลสุดท้ายคือผ้าขนหนู พี่จะต้องเป็นคนที่ได้ผ้าขนหนู เพราะฉะนั้นเลยเป็นความคิดของพี่มาตลอดว่าพี่ไม่ใช่คนที่โชคดี อยู่ๆ ก็มีคนเอาอะไรมาให้ แล้วพี่ก็รู้สึกว่าพี่ไม่ได้เก่ง ไม่ได้มีความสามารถอะไรไปมากกว่าคนอื่น และการที่เราจะได้อะไรมาเราต้องพยายามทำเต็มสุดความสามารถ แล้วเราถึงจะเหมาะสมกับสิ่งดีๆ ที่จะตามมาในชีวิต แต่คนอาจจะไม่ได้เห็นตอนที่เราพยายามเท่านั้นเองค่ะ” นั่นคือบทบาทการทำงานและเคล็ดลับความสำเร็จในชีวิตของสาวเก่งคนนี้ แต่หากพลิกอีกด้านเธอก็คือคุณแม่ที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง อย่างสมบูรณ์ และปล่อยให้ลูกชายค่อยๆ เติบโตไปในแบบของเขา ส่วนเธอคนนี้ก็มีหน้าที่เพียงแค่คอยเฝ้าดูลูกชายค่อยๆ เติบโตขึ้นในแต่ละวัน “พี่ไม่ชอบการตีกรอบ พี่ชอบความแตกต่างและหลากหลาย มันเป็นความคิดพื้นฐานของพี่ขวัญอยู่แล้ว ฉะนั้นสไตล์การเลี้ยงลูกของพี่จึงไม่เคยมีการตีกรอบเลย อย่างเรื่องการแต่งตัว พี่ไม่เคยไปตีกรอบเขาว่าต้องใส่เสื้อเชิ้ตติดกระดุม ยกเว้นอย่างเดียวว่าถ้าไปไหนที่ต้องเรียบร้อย เช่น เข้าวัดก็ต้องเรียบร้อย เพราะกาลเทศะสำคัญที่สุดในโลกของการแต่งตัว
ไม่ใช่เรื่องของความสวยงาม นอกนั้นสไตล์ไหนเชิญ เพราะพี่ขวัญมีความรู้สึกว่านี่คือสีสัน คือความสวยงาม เป็นการสะท้อนบุคลิกภาพ และเป็นความสุขของแต่ละคน ทำไมเราจะต้องมาบอกว่าคนนี้แต่งตัวสวยหรือไม่สวย คือพี่ขวัญมีความรู้สึกว่าเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เรื่องจินตนาการ พี่จะไม่มีการตีกรอบลูกเด็ดขาด รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ บางครั้งถ้าเขาอยากจะคิดอะไร ถ้าพี่รู้สึกว่าเป็นเรื่องของจินตนาการพี่ก็แค่ฟังและปล่อย แต่ถ้าเป็นความถูกผิด พี่คิดว่าเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องสอนว่าเขาจะคิดจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่าจะสร้างผลกระทบต่อคนอื่น หรือจะทำให้ตัวเองเดือดร้อน ในอนาคตหรือเปล่า อันนี้เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องสอนค่ะ ส่วนเป้าหมายในชีวิตพี่ก็ไม่ได้มีความฝันว่าจะต้องยิ่งใหญ่ ไปกว่านี้ เพราะฉะนั้นชีวิตในวันนี้ก็ไม่ได้มีภาระอะไรที่ยิ่งใหญ่นอกจากการดูแลลูกจนถึงจุดที่เขาสามารถดูแลตัวเองได้ เต็มที่ อย่างน้อยๆ ก็คือเรียนหนังสือจบ แล้วก็อาจจะอยู่เป็นที่ปรึกษาให้เขาในชีวิตในบางมุมเท่านั้นเอง คือเราอยู่เพื่อที่จะส่งให้ลูกยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่แน่นอนเขาก็ต้องไปล้มลุกคลุกคลานเรียนรู้ มีความสุขและเจ็บปวดในชีวิตเพื่อที่จะให้เขาเติบโตได้จริงๆ นั่นคือเป้าหมายเดียวของพี่จริงๆ ค่ะ” อย่างที่บอกว่าการมาเจอกันครั้งนี้เหมือนเป็นการกลับมาเจอกันของคนคุ้นเคย การพูดคุยในวันนั้นจึงเป็นไปอย่างเพลิดเพลินต่อเนื่องจนเกือบลืมเวลา มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แสงอาทิตย์ค่อยๆ เลือนหายพร้อมกับการเคลื่อนตัวลงสู่ท้องทะเล เราจึงปล่อยให้เธอได้ใช้เวลาดื่มด่ำกับความสวยงามของท้องทะเลฟ้าใสที่กว้างไกลสุดสายตาก่อนจะไปเต็มอิ่มกับอาหารมื้อค่ำต่อไป