ไม่ว่าจะบทบาทไหน คุณจะหลงรัก “ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร” ในความเป็นเขามากที่สุด
“สุดท้ายแล้วคุณจะรักตัวละครตัวไหนก็ได้ แต่เมื่อคุณมาเจอเรา อย่าลืมสิ่งที่เราอยากให้คุณรักที่สุด คือ…ตัวเรา” คำพูดที่หากฟังผ่าน ๆ อาจจะคิดว่าเป็นคำพูดของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองพิเศษไปกว่าใคร ซึ่งก็อาจจะใช่ หากเราไม่ได้คิดว่าเขาคือ ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร เพราะนั่นเป็นตัวตนจริงที่เราสัมผัสได้ในช่วงเวลาไม่นานนักจากผู้ชายคนนี้ นักแสดงหนุ่มที่ไม่ปล่อยตัวเองให้หลงไปกับกระแสของความมีชื่อเสียง ทั้งยังซื่อสัตย์กับตัวตนที่ชัดเจน จนสามารถพิสูจน์และทำให้คนหลงรักเขาได้ ไม่ว่าจะสวมบทบาทเป็นตัวละครใด…ก็ตาม เมื่อปลายปีที่แล้วต่อก็ทำเอาสาว ๆ อยากเป็น “อนงค์” ทั่วบ้านทั่วเมืองกับบท “คุณพระ” ซึ่งหากเทียบกับเรื่องอื่นที่ผ่านมา อาจมองว่าไม่หวือหวา แต่แท้จริงแล้วภายใต้ความราบเรียบ กลับมีความท้าทายซ่อนอยู่
“ถ้าพูดถึงงานของผมที่ผ่านมา ความเข้มข้นของละคร “หนึ่งในร้อย” ถือว่าน้อยมาก แต่ด้วยความที่เราชอบทำอะไรต่างจากเดิม เลยเป็นสาเหตุให้เรารับเล่นเรื่องนี้ ซึ่งก็ต้องขอบคุณคนดูทุกคนมาก ๆ ที่ทำให้มันเกินคาด เพราะว่าต่อให้ผมจะทำดีขนาดไหนผมเลือกไม่ได้นะ ว่าผลของโปรเจ็กต์นี้จะดีขนาดไหน เป็นเรื่องของโชคประมาณหนึ่งว่า จังหวะเวลาและเทสต์เรากับคนดูจะตรงกันไหม เรื่องนี้พูดจริง ๆ ว่าเป็นโรแมนติกแบบคำที่พี่ญาญ่าเคยอธิบาย ว่ามันเป็น slow burn ซึ่งผมชอบมาก คือมันไม่ใช่โรแมนซ์ที่หวานฉ่ำ ถ้าใครได้ดูตั้งแต่ ep แรก ทุกคนจะรู้สึกว่ามันมีความเติบโตไปพร้อมตัวละครอยู่ แล้วความโรแมนซ์ที่เกิดขึ้นมันเหมือนกระดาษที่เผลอติดไฟแล้วมีรอยไหม้แดง ๆ ค่อย ๆ ลาม ซึ่งในกระดาษแผ่นนี้มันจะมีเส้นที่จุดติดอยู่ เป็นการที่เรากำลังสู้กับความคิดคนดูว่า คนดูจะยังดูจนถึงเส้นนั้นไหม คือมันจะค่อย ๆ ไหม้ไปจนถึงจุดนั้นทันหรือเปล่า ซึ่งตอนแรกที่ผมอ่านบท เราพูดเลยว่าเห็นบทมันดูไม่มีอะไรแบบนี้ แต่มันยิ่งยากนะ”
และเมื่อตัดภาพมาอีกหนึ่งเรื่องที่จ่อคิวฉายตามกันมาเลย นั่นคือ “การุณยฆาต” จะมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จนนักแสดงหนุ่มถึงกับเอ่ยปากว่ากลัวคนคนดูเกิดความรู้สึก ‘ปลาช็อกน้ำ’ เหมือนกัน “เพราะบทเรื่องนี้จะฉีกไปเลย คุณจะเจออีกแบบ จะเป็นแบบมนุษย์สุด ๆ คือเรื่องนี้ผมถ่ายทำหนึ่งในร้อยจบก็ต่อการุณยฆาตเลย เผลอ ๆ ตอนช่วงท้ายหนึ่งในร้อยนี่ผมเริ่มปั้นการุณยฆาตแล้ว แต่สำหรับคนที่เคยผ่าน 6 เรื่องซ้อนมา การทำงานของ 2 เรื่องนี้เลยไม่ใช่ปัญหาขนาดนั้น แต่แค่เรียนรู้ว่าทุกวันนี้ผมไม่รับซ้อนแล้ว เพราะเราเคยรับงานซ้อนมาก ๆ แล้วรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะ ถ้าเรายังอยากให้ทีมงานได้เราเวอร์ชั่นเต็มร้อย ผมรู้สึกว่ามันเป็นการให้เกียรติทุกคนเลย ไม่ว่าจะเป็นทีมงานที่เขาต้องทำงานกับเรา หรือคนดู ถึงคนอาจจะดูได้ละเอียดไม่เท่ากัน แต่อย่างน้อยผมพร้อมแสดงความตั้งใจว่า ผมไม่เคยทำงานแบบดูถูกคน ไม่เคยคิดว่าทำ ๆ ไปประมาณนี้แหล่ะ เดี๋ยวก็ได้ ไม่ใช่แบบนั้นครับ”
ถึงแม้ใครจะมองว่าการประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุน้อย หรือการประเดิมเรื่องแรกแล้วดังเปรี้ยงเลยจะเป็นเรื่องโชคดี แต่หากติดตามกันมาตลอดย่อมรู้ว่า คำว่ามืออาชีพสำหรับหนุ่มคนนี้ ไม่ได้มาเพราะโชคชะตา แต่เป็นความสามารถอย่างแท้จริง “วัยมีผลกับแค่ตัวละครบางประเภทครับ เช่น จังหวะสมัยตอนผมเล่นบทออทิสติก ยุคนั้นผมไม่มีทางเล่นเป็นผู้ใหญ่ได้เลย เรื่องวัยนี่ผมว่าอาจจะเป็นเรื่องการสู้กับกำแพงความเชื่อที่ไม่ใช่ของตัวเองแล้ว มันคือคนดู การติดภาพ ความเคยชินที่เขาเห็นเรามา เช่น กว่าผมจะหลุดจากบทนักเรียนได้ มันก็ไม่ง่ายเลย เพราะว่าถ้ามันยิ่งประสบความสำเร็จมาก แปลว่ามันจะฝังอยู่ในใจคนมาก ๆ แต่สุดท้ายผมว่าไม่มีคำว่าโชคดีหรอก และมันเป็นข้อดีข้อเสียคนละแบบ เหนื่อยคนละแบบ อย่างเช่น ผมเริ่มจากตัวละครที่เด็กกว่าอายุจริง มันจะยากตอนดึงขึ้น แต่ถ้าผมเริ่มจากตัวละครอายุมากกว่าอายุจริง อันนี้จะยากตอนยื้ออายุว่าทำยังไงให้คนไม่รู้สึกว่าเราแก่ไปจนเขารู้สึกว่ายังเล่นได้อยู่เหรอ”
จากนักแสดงหน้าใหม่ผมสั้นเกรียน จนมาถึงวันนี้ที่เขาสามารถขึ้นมายืนเทียบชั้นรุ่นพี่ได้อย่างน่าภูมิใจ สิ่งหนึ่งที่เขายึดถือมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นก้าวเข้าสู่วงการได้ไม่นานนัก นั่นคือ การเลือกรับงานจากบทที่ตัวเองนึกภาพไม่ออก “หลังผมถ่ายฮอร์โมนเสร็จ ผมก็มีความคิดนี้มาตลอด สาเหตุอย่างเดียวเลยคือผมแค่รู้สึกยุค “ฮอร์โมน” เราดังจากตัวเอง มีชื่อเสียงจากความเป็นตัวเอง ผมว่าช่วงวัยของเด็กวัยรุ่นที่มันเริ่มโต ความคิดมันจะมีความขบถ ซึ่งความคิดแรกที่มันเด้งขึ้นมาคือ แล้วเราไม่สามารถมีชื่อเสียงจากสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองได้เลยเหรอ ทำไมถึงไม่ได้ คือแปลว่าถ้าคุณอยากระเบิดกำแพงนี้ออกไป ก็ต้องมองหาเชื้อดี ๆ แล้วเก็บเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ตามวิธีการของคุณ แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะตัวตนคุณไม่ใช่ตัวตนเรา ผมเชื่อว่าทุกคนมีวิธีการของตัวเอง แค่ต้องใช้เวลามาก ๆ (หัวเราะ) เพราะว่าผมก็โดนมาหนักนะ สมมติว่าเล่นบทนี้สำเร็จ พอไปอีกโปรเจ็กต์เปลี่ยนบทผมโดนว่านะ ผมพูดเลยว่าเราก็โดนฟีดแบกที่มีคนบ่นว่า ไม่ได้อยากเห็นเล่นแบบนี้ อยากเห็นแบบนั้น ซึ่งเราเข้าใจ แต่เราก็พูดไม่ได้ เราเข้าใจว่าสิ่งนี้มันอยู่ในใจคุณอยู่ รู้ว่าเรากำลังทำสิ่งที่ไม่ตรงใจ แล้วผมก็ทนแบบนี้มาทุกปีที่ผมทำงาน จนทุกวันนี้ แทบไม่มีเลย ก็กลายเป็นว่าสำเร็จแล้ว ฉันสามารถสะกดจิตทุกคนได้แล้ว ทุกคนเข้าใจฉันสักที” นักแสดงหนุ่มส่งยิ้มให้กับผลลัพธ์ที่สุดท้ายก็ออกมาอย่างที่ตั้งใจ
ก่อนจะเสริมต่อว่า “นักแสดงเราทำตัวเป็นแก้วเปล่าไปเรื่อย ๆ เราพยายามทำให้ตัวเราเองใสที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าคิดถึงตัวละครไหนที่เล่นมากที่สุด ผมว่าถามคนดูจะชัดกว่า ซึ่งเชื่อเลยว่าแต่ละคนไม่ตรงกัน ยกตัวอย่างเวลาผมตามอ่านฟีดแบก “หนึ่งในร้อย” เห็นชัดเลยนะว่าแต่ละคนมีตัวละครที่เราเคยเล่นติดอยู่ในใจเขา บางคนชอบ “side by side” บางคนชอบ “หัวใจศิลา” บางคนติดกับ “ใต้หล้า” หรือบางคนยังอยู่กับ “ขอเกิดใหม่ใกล้ ๆ เธอ” หรือถ้าย้อนกลับไปยุคแรก ๆ ยุคนั้นคนยังมีความคาดหวังอยู่มากว่าฉันเห็นเธอในจอยังไง เวลาฉันมาหาเธอที่งานฉันจะต้องได้เจอแบบนี้ ซึ่งผมรู้ตัวนะว่าตัวจริงผมกับในงานนี่ไม่เหมือนกันเลย ผมรู้สึกว่าเหมือนเราหลงยุค แต่พอมาเป็นยุคนี้ มันเป็นเรื่องปกติ แล้วเรากลับรู้สึกว่าดีเพราะสุดท้ายแล้วคุณจะรักตัวไหนก็ได้ แต่เมื่อคุณมาเจอเรา อย่าลืมสิ่งที่เราอยากให้คุณรักที่สุด มันไม่ใช่ตัวละคร มันคือตัวเรานี่แหล่ะ ผมก็เลยเป็นคนที่รักความเป็นตัวเองมาก ๆ ผมไม่เคยยอมเลยนะเรื่องนี้ ถ้ามีคนจะให้เปลี่ยน ผมรู้สึกว่าโอเคผมอาจจะมีข้อเสียเยอะ แต่ผมเปลี่ยนให้ไม่ได้หรอก ผมเป็นแบบนี้ คือโอเคเราอาจจะทำให้คนรักเราทุกคนไม่ได้หรอก แต่อยากน้อยฉันขอซื่อสัตย์กับตัวเอง ส่วนในงานของเรา เราก็จะพิสูจน์ว่าความเป็นตัวเองของเรา ไม่ได้มีผลทำให้งานฉันแย่นี่”
จากประสบการณ์ทั้งหมดกว่า 10 ปี ในบทบาทที่หลากหลาย หากย้อนเวลากลับไปเจอกับนักแสดงหน้าใหม่ที่ชื่อ ต่อ ธนภพ คนที่ยืนดูรุ่นพี่แสดงอยู่ข้างกอง เขาอยากจะบอกกับน้องใหม่คนนั้นว่า “ผมจะบอกว่า น้องทำให้หนักกว่านี้ บอกให้นะตอนนั้นที่ว่าหนักแล้ว ผมว่ามันหนักได้กว่านี้ ทำไมดูเป็นคนโหดขึ้นมานะ (หัวเราะ) คือผมรู้สึกว่า ผมโตขึ้นมาได้เพราะผมทำเยอะ ฉะนั้นถ้าแนะนำตัวเองได้คงอยากเร่งโต ทำให้เยอะกว่านี้แล้วจะได้มาเจอกันไวไว”
กล่าวจบพร้อมกับเล่าถึงภาพอนาคตในวงการที่วางไว้ “ก็ยังคงวิ่งตามฝัน ผมยังรู้สึกว่าภาพที่ผมมองเป้าหมายสุดท้ายผมอยากไปให้ไกลที่สุดในฐานะนักแสดง และเพราะผมไม่รู้จุดสุดท้ายมันคืออะไร ผมเลยไม่เคยบอกได้เลยว่าผมใกล้ถึงฝันหรือยัง แต่ผมพูดได้แค่ว่าผมเห็นภาพตัวเองอยากเป็นนักแสดงเกษียณแล้วเราจะไม่มานั่งสงสัยกับตัวเอง ซึ่งผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะมีวันที่เมื่อเราทำสิ่งที่เรารัก ถึงจุดหนึ่งมันจะต้องมีจุดที่คนเราอิ่ม ขนาดตอนเด็ก ๆ ผมยังเคยเกเรจนอิ่มได้เลย”
พูดจบพร้อมกับเสียงหัวเราะของทีมงานที่ดังขึ้นมาพร้อมกันอย่างอารมณ์ดี เป็นการส่งท้ายบรรยากาศการทำงานวันนี้อย่างมีความสุข
Model: Thanapob Leeratanakachorn
Photographer: Ploypat
Stylist: Organic Boy
Makeup Artist: IG @luckysevenb Hair
Stylist: IG @ritz_angel_xx
Clothes: GREYHOUND ORIGINAL 27/1 Sukhumvit 53 Klongton Nua, Wattana, Bangkok Tel. 0 2260 7121 – 118, Loro Piana M Floor, Siam Paragon Tel. 0 2125 3047, 093 137 8922, ZEGNA G Floor, Central Embassy Tel. 0 2006 3965, 0 2006 3865
Shoes: Camper 1 Floor, Central World Tel. 096 843 0489
Location: Capella Bangkok capellahotels.com/en/capella-bangkok Email: info.bangkok@capellahotels.com Tel. 0 2098 3888